กราฟเส้นแสดงการบริโภคไขมันจากแหล่งต่าง ๆ (เส้นสีแดงคือน้ำมันพืช, เส้นสีอื่น ๆ คือไขมันจากนม เนื้อสัตว์ ฯลฯ) เปรียบเทียบกับอัตราคนอ้วน (เส้นประสีส้ม) ในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1900 ถึงปัจจุบัน
แผนภูมินี้เผยให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคน้ำมันพืชที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา กับอัตราผู้ที่เป็นโรคอ้วนที่สูงขึ้นตามลำดับ โดยเส้นสีแดงในกราฟคือปริมาณแคลอรีที่ได้รับจากน้ำมันพืช (เช่น น้ำมันถั่วเหลือง ข้าวโพด คาโนลา ฯลฯ) ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลังทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา ขณะที่เส้นประสีส้มแสดงอัตราคนอ้วนที่พุ่งสูงขึ้นควบคู่กันไป
ในทางตรงกันข้าม ปริมาณไขมันจากเนื้อสัตว์และนม (เส้นสีอื่น ๆ) กลับลดลงหรือคงที่ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่โรคอ้วนก็ยังเพิ่มขึ้น
ข้อมูลนี้สนับสนุนสมมติฐานที่ว่า น้ำมันพืชอาจมีบทบาทสำคัญในการระบาดของโรคอ้วน เมื่อเทียบกับปัจจัยด้านอาหารอื่น ๆ
นักวิจัยชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงการบริโภคไขมันของคนยุคใหม่ไปสู่การบริโภคกรดไขมันโอเมก้า-6 (จากน้ำมันพืชราคาถูกในอาหารแปรรูปและของทอด) ในสัดส่วนที่สูงกว่าที่บรรพบุรุษเราเคยบริโภค อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้อัตราโรคอ้วนและโรคเรื้อรังอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
มีการเปรียบเทียบเชิงประชากรว่า “ไม่มีชนเผ่าหรือประเทศใดที่เริ่มบริโภคน้ำมันพืชแล้วไม่เกิดโรคอ้วนตามมา” ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานทางระบาดวิทยาหลายประเทศ
งานวิจัยล่าสุดยังพบว่า กรดไขมันไลโนเลอิก (โอเมก้า-6) จากน้ำมันพืชเมื่อสะสมในร่างกาย สามารถกระตุ้นการอักเสบและรบกวนระบบเผาผลาญ ทำให้สะสมไขมันง่ายขึ้นและรู้สึกหิวบ่อยขึ้น
การลดโอเมก้า-6 และแทนที่ด้วยไขมันชนิดอื่นอาจช่วยให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แหล่งที่มา: Zero Acre Farms (2022) “How Vegetable Oils Make Us Fat”
Loading images...